การถือศีลอดสะท้อนหลักการความเท่าเทียม ไม่เลือกความยากดีมีจน ความสำนึกต่อความหิวโหย การแบ่งปันช่วยเหลือเอื้ออาทรที่มนุษย์พึงมีต่อกัน
อย่างไรก็ตามก็มีการกำหนดข้อยกเว้นในการถือศีลอด หากมีเหตุจำเป็น ดังนี้
๑. คนป่วยมากจนไม่สามารถถือศีลอดทั้งวัน
๒. หญิงมีประจำเดือนหรือมีเลือดหลังคลอดบุตร
๓. คนเดินทางไกล
๔. หญิงที่มีครรภ์ ซึ่งมีอาการว่าถ้าถือศีลอดจะเป็นอันตรายแก่ตนหรือบุตรในท้อง
๕. คนแก่มากหรือป่วยจนรักษาไม่หาย
กรณีที่ ๑-๓ ต้องชดใช้ภายหลัง
กรณีที่ ๔ ต้องชดใช้ภายหลัง และแจกอาหารตามจำนวนวันที่ขาดไป วันละ ๑ ทะนาน ถ้าหากไม่ชดใช้จนล่วงเข้าปีที่ ๒ ต้องแจกอาหารวันละ ๒ ทะนาน และทวีขึ้นเรื่อยๆ ไป
กรณีที่ ๕ ไม่ต้องชดใช้การถือศีลอด แต่ต้องแจกอาหารในอัตราเดียวกับหญิงมีครรภ์
ผู้ไม่ถือศีลอดชดใช้
ผู้ที่ขาดศีลอดและยังไม่ได้ชดใช้ ทั้งๆ ที่มีร่างกายแข็งแรงแล้ว ต้องเสียค่าปรับ (ฟิดยะฮ์) คือแจกอาหารให้คนยากจน ๑ ทะนานต่อการขาดศีลอด ๑ วัน หากไม่ชดใช้จนเข้าสู่ปีที่ ๒ ก็ต้องแจกอาหารวันละ ๒ ทะนานต่อการขาดศีลอด ๑ วัน และเพิ่มค่าปรับในอัตรานี้ไปเรื่อยๆ
ผู้ที่ร่วมประเวณีในเวลากลางวันขณะที่ถือศีลอด ถือเป็นบาปหนักและมีผลให้
๑. การถือศีลอดของเขาเสียไป
๒. ต้องถือศีลอดชดใช้
๓. ต้องจ่ายค่าทดแทนด้วยการปล่อยทาส ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ถือศีลอด ๒ เดือนติดๆ กัน โดยไม่ขาดเลย
๔. ถ้าถือศีลอดที่กล่าวไม่ได้ก็ให้แจกอาหาร ๖๐ ทะนานแก่คนยากจนอนาถา
การเฉลิมฉลองหลังจากการถือศีลอดมาตลอดทั้งเดือนรอมฎอนในวันอีฎิ้ลฟิตรินั้น ถือเป็นวันแห่งความรื่นเริง วันแห่งความสุข วันแห่งการเฉลิมฉลอง คนที่อยู่ห่างไกลนิยมเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อพบปะครอบครัวและเครือญาติ
พี่ทำนุ เหล็งขยัน ประธานชุมชนมัสยิดบ้านตึกดิน ชุมชนมุสลิมชานพระนคร ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันอีดิ้ลฟิตรี่ว่า “พี่น้องมุสลิมจะขอมาอัฟต่อกัน มาอัฟคือขอโทษขออภัย ที่ทำไม่ดีพูดจาไม่ตั้งใจทำให้เสียชื่อหรืออับอายใส่ร้ายป้ายสโดยไม่ได้ตั้งใจ”